น้ำอ้อย
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์พระ วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่ ) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เราฟังธรรมะก่อน ฟังธรรมะนะ สัจธรรมเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการท่านเป็นธรรมๆ ฟังแล้วมันก็เป็นธรรม ถ้าครูบาอาจารย์ไม่เป็นธรรมนะ
เวลาแสดงธรรม อย่าเสียดสี อย่ากดอย่าทับคนอื่น แต่ว่าเวลากิเลสในหัวใจของคนๆ ไง ถ้ากิเลสในหัวใจของคน เราต้องเตือน เราต้องปลุกเร้า ถ้าปลุกเร้าขึ้นมาให้เราได้มีสติปัญญา มีสติปัญญาให้เท่าทันกับกิเลสของตนๆ
ถ้ามันเท่าทันนะ คำว่า “เท่าทัน” เช้าทำภัตกิจเสร็จแล้วเราจะมีแก่ใจที่เราจะประพฤติปฏิบัติ เรามีกำลังใจไง มันสดชื่นแจ่มใส เห็นไหม เหมือนนักกีฬาจะลงแข่ง หวังชัยชนะทั้งสิ้น ไปครึ่งทางแล้วถ้าไม่ได้ฟิตมา อ่อนแรง พออ่อนแรงขึ้นมาแพ้เขาทั้งสิ้นเลย นี่กำลังมันไม่ตลอดรอดฝั่ง เวลาถ้าเรามีสติมีปัญญาขึ้นมามันจะปลุกเร้าขึ้นมาให้เราชัดเจน ถ้าเราชัดเจนขึ้นมา เห็นไหม
ในปฏิปทาธุดงคกรรมฐานฯ ทำภัตกิจเสร็จแล้ว เวลากลับไปที่พักแล้ว บาตรของตน เวลาอย่าขึ้นไปบนกุฏิ วางแล้วผลักไส ให้ผึ่งไว้ ผ้าให้ผึ่งไว้ แล้วเข้าทางจงกรม อย่าขึ้น
เราดูปฏิปทาพระธุดงคกรรมฐานฯ ตอนบวชใหม่ๆ เราทำตามนั้นเลย
เวลาสายหลวงปู่ฝั้น ที่นอนเก็บหมด มันจะขี้เกียจ กลางคืนมันจะนอนอย่างเดียว ดึงไว้ อย่าใกล้ที่นอน ที่นอนพับเก็บ ถ้าถึงเวลานอนให้ปูเลย
นี่ไม่ ปูไว้พร้อมเลย
เวลาหลวงตาท่านพูด เอาเสื่อเอาหมอนผูกคอไว้เลย
ถ้าเอาเสื่อเอาหมอนผูกคอไว้นะ วันแล้ววันเล่า วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ ถ้าบัดนี้เราทำอะไรอยู่ ถ้ามีสติปัญญา จิตใจมันฟื้นฟูมา เวลาคนมันหงอยมันเหงา เวลาไก่มันหงอยไง ไก่มันเป็นอหิวาต์น่ะ มันหงอย ขี้ขาว มันจะตาย แต่ถ้ามันสดชื่นนะ มันสดชื่นของมัน มันต้องมีสติปัญญาของมัน ถ้ามีสติปัญญาของมัน ฟังธรรมๆ ปลุกเร้า ปลุกเร้าหัวใจของตน
ถ้าในหัวใจของครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ นะ เป็นธรรม เป็นธรรมเขาหวังธรรมอันนั้นน่ะ หวังสัจธรรม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ สัจธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมาน่ะ สัจธรรมที่อยู่ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะ สัจธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคารพบูชา เห็นไหม
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมมีรัตนะ ๒ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระธรรมๆ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ ขึ้นมา พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม สงฆ์องค์แรกของโลกเกิดขึ้นมา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม แสดงธรรมขึ้นมา สาวกสาวกะได้ยินได้ฟังแล้วประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง หัวใจเป็นธรรม เกิดเป็นรัตนตรัย ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึกของชาวพุทธเรา
แล้วเราบวชมาๆ เราก็มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากเหมือนกัน กิเลสตัณหาความทะยานอยาก แม้แต่อยากบวช อยากประพฤติปฏิบัติ อยากพ้นทุกข์ มันจะเป็นความอยากขนาดไหนก็เป็นความอยากฝ่ายดี ถ้าฝ่ายดีอยากเสร็จแล้วก็เก็บไว้ในหัวใจของตน ถ้าเก็บไว้ในหัวใจของตน แล้วเรามีโอกาส เราพยายามหลีกเร้น
เวลาเราธุดงค์ผ่านมาๆ เจอพระมามาก พระเป็นผู้ที่ประหยัดมัธยัสถ์ ของสิ่งใดเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย ทำเองๆ ทั้งนั้น ของตลาดเราไม่ใช้ไม่สอย ไม่ต้องการ วินัยไม่ฝากเจ๊กไว้ วินัยฝากไว้กับมือ
ครูบาอาจารย์ท่านพูดนะ วินัยฝากเจ๊กไว้ใช่ไหม อะไรก็ไปซื้อที่ร้านเจ๊กๆๆ แล้วตัวเองทำอะไรไม่เป็นเลย
เราก็ต้องฝึกหัดของเราเข้ามา ฝึกหัดให้มันเป็น เป็นแล้วมันอบอุ่น
เวลาบวชมามีบริขาร ๘ เข็มกับด้าย สมัยครูบาอาจารย์ท่านมีสติปัญญา เวลามันขาด ท่านสอยเป็นดอกจันนะ โอ้โฮ! มันเอาแก้วครอบไว้แล้วค่อยๆ สอย ค่อยๆ สอย สอยด้วยมือไง ผ้าบริขาร แต่ในปัจจุบันนี้เราเห็นเป็นของไร้ค่า ดูสิ คหบดีจีวรเขาถวาย อู้ฮู! เป็นตั้งๆ เลย
ของเป็นตั้งๆ เป็นของสงฆ์ ไม่ใช่ของเรา
เวลาหลวงปู่มั่น ลูกศิษย์ลูกหาหลวงปู่มั่นมหาศาล ลูกศิษย์ลูกหา คหบดีจีวรท่านไม่จับไม่ต้องเลย
หลวงตาท่านพูดเอง ตั้งแต่บวชมาที่เห็นมากับตาก็หลวงปู่มั่นนี่แหละ ถือผ้าธุดงควัตร ถือผ้า ๓ ผืน ไม่ใช้คหบดีจีวร ไม่ใช้เลย ท่านชักบังสุกุลเอา ท่านเก็บเอาแล้วปะชุนเอา นี่ไง ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ
แล้วมันเป็นอะไรล่ะ
ก็เป็นคุณธรรมในใจท่านไง เป็นวิมุตติสุขในใจของท่านไง
ไอ้พวกเราก็ แหม! คหบดีจีวรๆ สิ่งที่ได้มา ถ้าเราฝึกหัดตัดเย็บเป็นแล้วมันอบอุ่น ให้มันขาดมาเถอะ ให้มันอะไร เราทำของเราได้ เราแก้ไขของเราได้ เห็นไหม ถ้าเราแก้ไขของเราได้มันรู้จักประหยัดมัธยัสถ์
สิ่งที่เขาให้มามากมายมหาศาล มันเป็นของสงฆ์ เป็นกองกลาง มันเป็นเรื่องของโลก ถ้าเราเป็นธรรมๆ นะ ถ้าจิตใจมันเป็นอย่างนี้มันก็ฟื้นฟูมา ถ้าฟื้นฟูมา
เวลาที่ปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัย ๔ เวลาเราอยู่กับครูบาอาจารย์ สิ่งใดก็น้ำร้อนกับน้ำตาลเท่านั้นน่ะ น้ำร้อนก็น้ำเสือโคร่ง จะมีอะไร ไม่มีอะไรเลย ในปัจจุบันนี้มันสมบูรณ์ๆ ขึ้นมา สมบูรณ์ขึ้นมา เห็นไหม
เราหมั่นประชุมกันเนืองนิจ เวลาประชุม ประชุมให้พร้อมกัน เลิกก็เลิกพร้อมกัน สังคมสงฆ์ที่มันจะสมานสามัคคีกันได้ก็แบบนี้ ถ้าต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างมีความเห็นแตกต่างกันไป แล้วมันจะสมานเข้ามา เข้าหมู่ๆ มันเข้าหมู่ได้ยาก แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ แล้ว เราเสมอกัน เราเหมือนกัน มีจิตใจเป็นธรรมเหมือนกัน
เวลาได้มา น้ำอ้อย สิ่งที่ว่าน้ำอ้อยๆ มันเป็นสัตตาหกาลิก น้ำผึ้ง น้ำตาล น้ำผึ้ง น้ำอ้อย สัตตาหกาลิกมันมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล
เวลาพระที่ว่าได้ลาภมากๆ แขวนไว้ๆ แต่ก่อนนั้นไม่มีอายุ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินตรวจวัดไง ไปเห็นแขวนไว้ตามหน้าต่าง แขวนไว้ๆ มันได้มาจากไหน ได้มาจากว่าญาติโยมเขาศรัทธาเขาถวายมา เพราะว่าท่านไปปราบผีให้ เสร็จแล้วมันฉันไม่ทันไง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นแล้วมันฟุ่มเฟือยไป บัญญัติไว้เลย ๗ วัน ถ้าเก็บไว้เป็นสัตตาหกาลิก
น้ำอ้อย สิ่งที่ได้มาๆ มันก็เป็นประโยชน์ เป็นการประทังให้มันสดชื่นเวลาฉันน้ำร้อน ฉันน้ำร้อน น้ำชา
ในสมัยพุทธกาล เวลานางวิสาขาไปเยี่ยมครูบาอาจารย์ของท่าน เวลามีของติดไม้ติดมือไป ถวายพระๆ มองข้ามพระเทวทัตไป พระเทวทัต เวลาเขามองข้ามไป น้ำอ้อย น้ำอ้อยก็น้ำตาล น้ำตาลปึกเรานี่ น้ำตาลปึกมันทำไมทำให้เทวทัตมีความน้อยเนื้อต่ำใจได้ล่ะ น้ำอ้อย น้ำผึ้งหยดเดียวนี่
น้ำผึ้งหยดเดียวมันเป็นของภายนอก เห็นไหม ถ้าหัวใจที่เป็นธรรมๆ มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย คำว่า “ปัจจัยเครื่องอาศัย” จิตใจที่เราสำคัญกว่า จิตใจที่เราจะค้นคว้าหาใจของเรา มันไม่เห็นคุณค่าขึ้นมาหรอก แต่ถ้าจิตใจที่ต่ำต้อยพอเห็นแล้วมันน้อยเนื้อต่ำใจ
น้ำอ้อย ในธรรมบทไปอ่านเจอเข้า ฝังใจมาก ทำไมเทวทัตเริ่มประเด็นขึ้นมาจากน้ำผึ้งน้ำอ้อยจากนางวิสาขาไปถวายครูบาอาจารย์ ผ่านไปๆ พระสงฆ์รับแล้วก็เป็นของสงฆ์ ก็ฉันด้วยกัน เวลาเขาถวายมันก็เป็นของสงฆ์ ของสงฆ์ หมู่สงฆ์ก็แจกกันน่ะ ทำไมจะต้องน้อยเนื้อต่ำใจล่ะ
นี่พูดถึงว่า ประเด็น สิ่งที่มันจะเกิดเหตุ เราจะชี้ให้เห็นว่า กิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจมันร้ายนัก ของสิ่งนั้นได้มามันก็เป็นกองกลาง
สิ่งที่ได้มา ดูสิ เวลาพระอานนท์ เวลากษัตริย์เขาจะถวายผ้า ถวายผ้า ๕๐๐ ผืน ผ้าจีวร ๕๐๐ ผืน เมียกษัตริย์มาถวาย กลับไปโกรธมากเลย ถวายอะไรตั้ง ๕๐๐ ผืน เอาไปทำไม พระอานนท์เอาไปทำไม
เอาไปแจกพระ
แล้วพระมีจีวรอยู่แล้ว แล้วพระทำอย่างไร
จีวรนั้นก็เอาไปทำเป็นม่าน เอาไปทำเป็นเพดานกุฏิ
แล้วถ้าเพดานกุฏิมันมีอยู่แล้วทำอย่างไร
ถ้าเก่าก็เอาไปทำเป็นผ้าเช็ดเท้า
แล้วผ้าเช็ดเท้ามันแยะเยอะไปไปหมด ทำอย่างไร
ก็ไปตำ ตำกับดิน
บ้านดินๆ น่ะ เขาตำกับดินแล้วเอาไปผสมโคลนทาๆ
โอ้โฮ! เขาศรัทธาขึ้นมา นี่ไง จีวร ๕๐๐ ผืนถวายพระอานนท์ พระอานนท์ยังไม่ได้เก็บไว้เลย เป็นของสงฆ์ๆ ไง จิตใจที่เป็นธรรมไง
แค่น้ำผึ้ง น้ำอ้อย มันไปทำให้คนที่ติดพันมันสร้างประเด็นขึ้นมาในใจ พอสร้างประเด็นขึ้นมาในใจ เห็นไหม แค่น้ำอ้อย
เวลามันหิวมันกระหาย ใช่ คนที่ไม่ได้อดอาหาร คนที่ไม่ได้ธุดงค์ผ่านมา เวลาหิวมันกระหายนะ เวลาหลวงปู่ขาว หลวงปู่ชอบไปในป่า เวลาในปกติเวลาท่านทำความสงบใจของท่าน เทวดา อินทร์ พรหมมาดูแลรักษา มาเข้าในนิมิตประจำ
ตอนนี้ธุดงค์มาไม่มีจะกิน บิณฑบาตไม่ได้ ๓ วัน ๔ วันแล้วนะ น้ำในกระติกก็หมดแล้วล่ะ ถ้าถึงเวลา เวลาสุขสบายก็มาอุปัฏฐากอุปถัมภ์ เวลามันทุกข์มันยากไม่มีใครมาดูแลเลย
น้ำผุดขึ้นมาเลย
นี่เวลาคนที่มีบุญมีกุศลของเขา สิ่งที่ทำมาๆๆ ไม่เห็นมีอะไรมาเป็นประเด็นในหัวใจเลย
เทวทัต แค่นางวิสาขามาถวายปัจจัยเภสัชเพื่อหมู่สงฆ์ เพื่อมาวัดมาวา มีของติดไม้ติดมือมา ข้ามเทวทัตไป ข้ามไปข้ามมาๆ
เราก็พระเหมือนกัน เราก็กษัตริย์เหมือนกัน สถานะไม่ต่างกันเลย ทำไมมองข้ามไปข้ามมาๆ
แค่น้ำอ้อย ทำไมจิตใจของคนมันเป็นอย่างนั้นได้ นี่ไง พอจิตใจของคนเป็นอย่างนั้นได้ นี่เวลาบอก กิเลสในใจของมนุษย์ โอ้โฮ! น่ากลัวมากๆ
หลวงตาท่านกลัว ไม่กลัวเรื่องอะไร เรื่องกิเลสในใจของคนนี่ กิเลสในใจของคน โอ้โฮ! มันปลิ้นมันปล้อน มันทิ่มมันแทงนะ อย่าเผลอ เผลอ เสร็จทันทีเลย แต่ไม่ใช่ให้ระแวงใครทั้งสิ้น เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มันเข้าใจ เข้าใจเรื่องกิเลสๆ ไง
พอเรื่องกิเลสขึ้นมา เทวทัตตั้งแต่ชูชกไป เป็นคู่เวรคู่กรรมมากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่พันธุกรรมของจิตๆ ผู้ที่สร้างสมบุญญาธิการมาสิ่งใดมามันคิดแต่เรื่องดีงามขึ้นมา ผู้ที่สร้างแต่ความเป็นกรรมเป็นเวรกันมา ถึงเวลาแล้วคิดอะไรก็เป็นเวรเป็นกรรมไปทั้งสิ้น ทำสิ่งใดก็เป็นเวรเป็นกรรมไปทั้งสิ้น
แม้แต่น้ำอ้อย น้ำตาลก้อนแค่นั้นน่ะ แต่ผลที่การกระทำ เทวทัต โอ้โฮ! ทำความผิดพลาดในพระพุทธศาสนามหาศาล เริ่มต้นมาจากแค่น้ำผึ้ง น้ำอ้อยนะ พอน้ำผึ้ง น้ำอ้อย มันก็มีความน้อยเนื้อต่ำใจ มีทิฏฐิมานะขึ้นมานะ วางแผลเล่ห์กลทันที ทำอย่างไรให้มันเกิดขึ้นมา พอเกิดขึ้นมา แล้วไปชักนำพระบวชใหม่อีกด้วย
พระบวชใหม่ ๕๐๐ ตามพระเทวทัตไปไง พระเทวทัตไปเสนอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอพร ขอพร ๕ ข้อนั่นน่ะ แล้วเวลาขอพร ๕ ข้อแล้ว แล้วทำได้ไหมล่ะ เวลาขอพร ๕ ข้อแล้ว เวลาทำให้สงฆ์แตกแยกขึ้นมา ฌานโลกีย์เสื่อมหมด
สมาธิเจริญแล้วเสื่อมๆ กุปปธรรม อกุปปธรรม สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา กุปปธรรม สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มันแปรปรวนเป็นธรรมดา มันเป็นกฎอนิจจังอยู่แล้ว มันเป็นไตรลักษณ์อยู่แล้ว มันเป็นเรื่องของโลกอยู่แล้ว มันเป็นความจริงอยู่แล้ว แต่ความเป็นจริงในใจของตนที่มีสัจธรรมขึ้นมาในหัวใจมันยังไม่เป็นไป เวลาทำอนันตริยกรรมน่ะเสื่อมหมดเลย เสื่อมหมดเลย
ให้ลูกศิษย์ลูกหาไปขอจากญาติพี่น้องของตน บิณฑบาตไม่มีใครเขาสนใจนะ เพราะเขาเคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วนี่มีแต่ทำลาย กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรม ความการกระทำนั้นมันขจรขจายไปทั่ว ไม่มีใครเขาสนับสนุน ลาภสักการะเสื่อมหมด พอเสื่อมหมดขึ้นมาก็ให้ลูกศิษย์ลูกหาไปหาญาติพี่น้องของตนมา แล้วมาฉัน
พระกรรมฐานที่เราฉันกันอยู่นี่ของใครของมัน เวลาเสื่อมลาภขึ้นมามันของใครของมันไม่ได้ก็ฉันร่วมวงกันไป
ภิกษุ ฉันเป็นคณโภชนะ ฉันเป็นคณโภชนะเป็นวงนั่นน่ะ เป็นอาบัติปาจิตตีย์
พระพุทธเจ้าบัญญัติหมด นางวิสาขาเห็นแล้วไปฟ้องพระพุทธเจ้า ภิกษุฉันเป็นคณะเหมือนกับพราหมณ์ที่เขากินข้าวกัน
เวลาให้ฉันเป็นส่วนบุคคลมันสมณสารูป ไม่ดำรงชีพเหมือนฆราวาสเขา ฆราวาสทำอย่างไร พระไม่ทำอย่างนั้น ห้ามทำๆๆ สมณสารูป
ไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คณโภชนะเกิดจากตรงนั้นน่ะ ปาจิตตีย์ พอปาจิตตีย์ขึ้นมา บัญญัติๆ ก็ทำไปเรื่อย
มันจะเกิดจากน้ำอ้อย น้ำตาลก้อนเดียว ทำไมมันสร้างผลสั่นสะเทือนกับศาสนาได้มากขนาดนั้น มันสร้างผลสั่นสะเทือนกับศาสนา มันสร้างผลสั่นสะเทือนเพราะอะไร เพราะพันธุกรรมของจิตๆ มีสิ่งใดก็คิดเป็นเวรเป็นกรรมทั้งสิ้น สร้างเป็นเล่ห์เป็นกลขึ้นมาในกระบวนการของความคิด แล้วทำไปๆ มันขยายไปเรื่อยๆ จนถึงที่สุด เวลาถึงที่สุดขึ้นมา เวลาสำนึกได้ จะไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาจะลงไปล้างเท้า ธรณีสูบไปเลย
นี่พูดถึงว่าการกระทำแบบนั้นนะ การกระทำแบบนั้นมันเกิดมาจากไหน
ถ้าจิตใจเราเข้มแข็ง จิตใจเรามีสติปัญญานะ สิ่งใดต่างๆ ขึ้นมามันจะเป็นประเด็นขึ้นมาไม่ได้ เพราะมันเป็นกองกลาง มันเป็นของของสงฆ์ มันเป็นของพวกเรา แล้วมีน้ำใจต่อกัน เห็นไหม
คนที่มีน้ำใจต่อกัน มันเป็นวาสนานะ เราบวชมาแล้ว บวชใหม่ๆ ขึ้นมา เพราะหัวเดียวกระเทียมลีบ บวชคนเดียว แล้วไปเจอพระไปไหนมา สามวาสองศอก ถามม้า ตอบช้าง แล้วเราก็บวชใหม่เราก็ไม่รู้ เชื่อๆ เขาไปนะ พอเชื่อก็ผิดแล้วผิดเล่า เออ! เชื่อใครไม่ได้
เวลาไปเจอหมู่คณะที่ดีนะ ไปธุดงค์ด้วยกัน โอ้โฮ! ไปในป่านี่ไว้วางใจกันมาก มันไว้ใจได้ สั่งสิ่งใดเป็นอย่างนั้น ปล่อยได้เลย แล้วมันทำอย่างไรก็ได้ มันสบายใจ แล้วหมู่คณะที่ไปด้วยกันเขาก็พูดกับเราอย่างนี้เหมือนกัน เวลาจะไปด้วยกัน เอาเลย คนอื่นคอย ท่านไม่เอา ชี้ไอ้เจ๊กบ้านี่ ไอ้เจ๊กบ้าไปแล้วมันสบายใจ เป็นไงเป็นกัน ไปข้างหน้าอย่างเดียว ภาวนาเต็มที่
เวลาจะพูดว่า เราชอบพูดว่าเรามีวาสนาเจอหมู่เพื่อนที่ดี เจอหมู่เพื่อนที่ดีออกไปภาวนาในป่านะ โอ๋ย! ช้างมันแปร๊นๆ ใส่ เวลาถ้าเป็นมันก็เป็นการหยอกเล่น เป็นการอะไร มันอันตรายไง แต่เวลาหมู่เพื่อนที่ดี เรามีความกล้าหาญ ไม่เป็นภาระของใครทั้งสิ้น ไม่ต้องเป็นความวิตกกังวล มีอย่างไรกินอย่างนั้น แล้วถ้าเขามี ให้เขาฉันก่อน เหลือมาก็ได้ ไม่เหลือก็ไม่เป็นไร ไว้วางใจกันได้ วางใจได้หมดเลย มันลงใจหมดเลย ลุยได้อย่างเดียว ลุยเข้าไปข้างหน้า นี่เจอหมู่เพื่อนที่ดีมาไง
แต่เริ่มต้นตอนบวชใหม่ๆ มา บวชมาหัวเดียวกระเทียมลีบ ไปอยู่กับใครก็แล้วแต่ ถามช้าง ตอบม้า ถามอย่าง ตอบอีกอย่าง แต่ก็ไม่รู้นะว่ามันถูกหรือผิด แต่เวลาไปเจอหลวงปู่จวนขึ้นมาทีแรกจบเลย
“อวิชชาอย่างหยาบของท่านในหัวใจท่านสงบลง อวิชชาอย่างกลางอีกมหาศาลเลย อวิชชาอย่างละเอียดยิ่งมหาศาล”
อู้ฮู! กูยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะเนี่ย มันก็ค่อยเริ่มต้นกันใหม่ รื้อฟื้นฟูกันใหม่ เอาจริงเอาจังกันใหม่ ชัดๆ ต่อหน้าสมาธิก็สมาธิชัดๆ ถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมก็ชัดๆ ขึ้นมาให้มันเป็นความจริงขึ้นมา
เวลาไปธุดงค์ต่อสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง แล้วเวลาต่อสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันจะเข้ามาเรื่องน้ำอ้อยนี่แหละ มันไม่มีอะไรหรอก อย่าว่าแต่น้ำร้อนน้ำชาเลย ไม่มีอะไรเลย ฉันจบก็คือจบ น้ำร้อนไม่มี มีแต่น้ำเสือโคร่งต้มไว้ ต้มไว้แล้วอยู่ในป่ามันเย็น โอ้โฮ! เย็นเจี๊ยบเลย ถ้ามีอะไรมาก็ไปแช่น้ำไว้ตามกระแสน้ำนะ ไม่มี แช่ไว้ตามน้ำนั้น
ไปเก็บกลอยมา ไปเก็บกลอยก็ให้เณรเก็บมา ให้ชาวบ้านเก็บมา แล้วก็แช่น้ำให้น้ำไหลมันซัดไป พอมันหมดพิษขึ้นมาก็เอามานึ่งกันน่ะ นี่อยู่ในป่าในเขามันทุกข์มันยากมา ฉะนั้น น้ำอ้อยถึงมีค่าไง น้ำตาลสักเม็ดยังมีค่าเลย
หลวงตาท่านพูด เวลาหลวงตาท่านพูดสิ่งใดนะ เราฟังแล้วมันสะเทือนใจ ท่านบอกเลยนะ อยู่ในป่าในเขา ไอ้น้ำตาล กาแฟ เอามาถ่ายรูปไว้ยังไม่มีเลย
เอามาแค่ให้มันเป็นถ่ายรูปไว้มันยังไม่มี ไม่มีหรอก เวลามันทุกข์มันยากอย่างนั้นน้ำอ้อยจะมีค่าไหม มีค่า โอ้โฮ! ถ้าได้น้ำอ้อยสักก้อนนะ อมไว้แล้วมีน้ำร้อนนะ แหม! วันนั้นสดชื่น กำลังฟื้นฟู ฟื้นฟูทันทีเลย
นี่เวลามันทุกข์มันยากมาอย่างนั้น เจอหมู่คณะที่ดีมาก็มี แต่ตอนต้นๆ เราไม่รู้จัก ใครพูดอะไรก็เชื่อ ใครพูดอะไรก็เชื่อ เวลาเชื่อไปแล้วนะ ไปไหนมา สามวาสองศอก ไม่ได้สิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันเลย แต่เวลาไปเจอหมู่เพื่อนที่ดีก็เป็นตัวเป็นตนมานี่ไง เป็นตัวเป็นตนมาเพราะอะไร
เวลาหลวงตาท่านพูด การภาวนายากอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่งคือคราวเริ่มต้น
คราวเริ่มต้นเหมือนฝึกหัดงาน คนทำงานไม่เป็นพยายามทำงานให้เป็นนี่แสนยาก จับผิดจับถูก ไอ้คนเป็นช่างไม้เขาเข้าเดือย เข้าอะไร เข้าได้หมดเลยปั๊บๆๆ ไอ้เรา แหม! เล็งแล้วเล็งอีกนะ เวลาเข้า อ้าปาก อ้าเลย ไม่มีสนิท ทำแสนยาก ยากตอนเริ่มต้นนี่แหละ เริ่มต้นแสนทุกข์แสนยาก ลองผิดลองถูกจับพลัดจับผลูอยู่อย่างนั้นน่ะ จิตมัน โอ้โฮ! มันสับปลับมาก กิเลสมันพลิกมันแพลง มันดิ้นมันรนนะ นี่พูดถึงกิเลส
พอกิเลสมันเป็นอย่างนั้น พอเห็นกิเลสแล้ว ถ้าจิตใจมีความมั่นคงขึ้นมามันก็พยายามมีการกระทำเพื่อความสงบระงับ ถ้ามันเป็นปัญญาได้ก็ฝึกหัดใช้ปัญญา
หลวงตาท่านสอน วิปัสสนาอ่อนๆ วิปัสสนาอ่อนๆ การฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญามันต้องฝึกหัดใช้ ปัญญาเอาไว้ต้มแกงกินไม่ได้ เอาไว้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ปัญญาเอาไว้ต่อสู้กับกิเลส ปัญญาให้เท่าทันกิเลส เห็นไหม
น้ำอ้อยๆ น้ำอ้อยก้อนเดียว น้ำตาลก้อนเดียว เริ่มต้นเป็นเหตุ เป็นเหตุให้ลบหมิ่นศักดิ์ศรีของเทวทัต ความไม่เคารพบูชาเป็นการลบหลู่กับเทวทัตจนพลิกจนแพลงจนหาช่องหาทาง หาการแสดงตนขึ้นมา จนมันเป็นปัญหาขึ้นมาไง
แต่เวลาถ้าเป็นพระนะ เป็นครูบาอาจารย์ที่ดีงาม อยู่ในหมู่สงฆ์ สงฆ์เหมือนกัน ทำสิ่งใดก็เป็นประโยชน์เหมือนกัน ถ้าเหมือนกัน มีน้ำใจต่อกัน หลีกทางให้ต่อกันนะ มันระลึกถึงกันไง นี่ไง คู่บัดดี้ไง
เวลาอยู่ที่บ้านตาด ท่านสอนให้รู้จักประวัติของพระแต่ละองค์ๆ เวลาท่านถาม ไอ้นั่นกี่พรรษา บวชที่ไหน อดอาหารเท่าไร
ตอนอยู่นั่นเราก็งงนะ เรื่องเล็กน้อยมาก เรื่องขี้ประติ๋วเลย แต่พอผ่านไปแล้ว โอ้โฮ! นี่คือนโยบายของท่าน มันจำได้หมดนะ หมู่คณะรู้จักกัน มันเป็นความสัมพันธ์ มันเป็นการฝังใจ มันเป็นความแนบแน่นของหมู่สงฆ์
เวลาครูบาอาจารย์ท่านวางนโยบายของท่าน ท่านไม่เห็นแก่เล็กแก่น้อย ไม่เห็นแก่น้ำอ้อย
น้ำอ้อยก้อนเดียว น้ำอ้อยๆ มันไปปลุกเร้ากิเลสไง น้ำอ้อยส่วนน้ำอ้อยนะ คนที่เขาไม่ติดไม่พันมันเยอะแยะไป เอาสิบล้อมาดัมป์ยังได้เลย นี่มันมีมากมายมหาศาล แต่เวลาคน จิตเวลามันเป็นคราวกรรมไง เวลามันคิดถึงแล้วมันฉุนมันเฉียว มันฝังใจ มันพยายามจะหาหนทางจะเอาชนะคะคานเขา แล้วหาหนทางก็ต้องแสดงออก
พอแสดงออก ก็เราจะมีอะไรล่ะ สมณะมีบริขาร ๘ ไม่มีทรัพย์สินเงินทอง ไม่มีลาภสักการะ จะเอาอะไรไปตอบโต้เขา มันก็ตอบโต้กันด้วยอภิญญา ตอบโต้ด้วยโลกธรรม มันไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้นเลย
เพราะเรามาละ เรามาประพฤติปฏิบัติ เรามาเอาความจริงของเรานะ ถ้าเราเอาความจริงของเรานะ เรามีสิ่งใดเราใช้ของสิ่งนั้น ถ้ามันมีน้ำใจต่อกัน เกื้อกูลต่อกันนะ มันฝังหัวใจมาก
คนเรานะ มันจะเห็นน้ำใจกันตอนทุกข์ตอนยาก ตอนทุกข์ตอนยาก ตอนไปธุดงค์ตอนที่ไม่มีจะกิน ดูอย่างหลวงปู่ขาว หลวงปู่ชอบ เวลาไปจะเป็นจะตายด้วยกัน มันไม่มีที่ให้บิณฑบาต น้ำในกระติกมาก็หมดแล้ว แล้วยังต้องเดินย่ำไปบนป่าเขาไม่มีอะไรเลย
นี่จะเป็นจะตายแล้วนะ รำพึงในใจ รำพึงเลยนะ เวลาปกติเทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์ฟังธรรม มีปัญหาก็มาถาม มาถามเอาเรื่องภายในของท่าน
แล้วคนที่มีคุณธรรมเขาไม่มาพูดขี้โม้หรอก เขาเก็บไว้ในใจ พูดเฉพาะคนที่รู้เหมือนกัน คนที่รู้เหมือนกันเห็นเหมือนกันนะ มันเป็นเรื่องธรรมดา ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ แล้วไม่พูดกับคนที่ไม่รู้ด้วย เว้นไว้แต่ลูกศิษย์ใกล้ชิดที่ไปทำข้อวัตร พวกนั้นจะได้ยินได้ฟังเรื่องอย่างนี้ แต่ถ้าเป็นคนอื่นเขาไม่พูดออกมา นี่ถ้าเป็นหลักการ เพราะอะไร
เพราะมันเหนือโลก มันเป็นความมหัศจรรย์เหนือโลก โลกรู้ด้วยไม่ได้ แล้วถ้าไปพูดขึ้นมาก็เป็นผู้วิเศษ มันเป็นก็เป็นไป มันวิเศษตรงไหน มนุษย์เหมือนกัน ขี้เหม็นเหมือนกัน กินอยู่เหมือนกัน แต่หัวใจที่มันสูงส่งกว่า
นี่ไง เวลาหลวงปู่ขาว หลวงปู่ชอบ เวลาท่านธุดงค์ไปๆ เวลามันไม่มีจะกิน แล้วมันทุกข์มันยากๆ แล้วชีวิตไง
ธรรมชาติ เวลาคนทางโลก “พระอรหันต์ก็ให้มันตายไปสิ มันจะได้อนุปาทิเสสนิพพาน จะได้วิมุตติสุขด้วยข้อเท็จจริงไง รีบๆ ตายไปซะ”
ถ้าเวลามันถึงวาระ มันเป็นวาระของมันเอง พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
“ให้สมควรแก่เวลาของเธอเถิด”
มันมีเศษของกรรมของคน อายุขัยของคน เราไปหักไปคัดไปค้านไม่ได้ มันปล่อยไป ธรรมะเป็นธรรมชาติ เป็นสัจธรรมไง นั่นธรรมชาติ วัฏฏะไง วัฏฏะ ฤดูกาลมันเปลี่ยนแปลง เดี๋ยวแล้ง เดี๋ยวน้ำท่วม มันเป็นฤดูกาลของมัน วันเวลามันหมุนของมันไป แต่มันมีภัยแล้งนะ มันมีน้ำท่วมนะ หิมะตกนะ แต่จิตนี้มันหมุนของมันไป
นี่ไง ถ้ามันเป็นจริง “ให้เห็นแก่สมควรแก่เวลาของเธอเถิด” แก่เวลาของเธอก็อายุขัยของเธอไง อายุขัยของเธอมันเป็นกรรมที่กระทำมาไง มันสิ้นสุดอย่างไรให้มันเป็นตามภพตามชาตินั้น แต่ใจที่มันสิ้นกิเลสแล้ว มันไม่มีการเกิดอีกแล้วล่ะ ข้างหน้าไม่มี สิ่งที่เป็นอดีตมาก็จบไปตั้งแต่สมุจเฉทปหาน ตั้งแต่อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาจบแล้ว จบ นี่เป็นสัจธรรมในพระพุทธศาสนา ถ้าเป็นสัจธรรมในพระพุทธศาสนา ถ้าหัวใจเป็นธรรมๆ เห็นไหม
หัวใจเป็นธรรมมันเกิดมาจากไหน
เกิดมาจากไอ้ขี้ทุกข์ขี้ยากนี่แหละ ไอ้ขี้ทุกข์ขี้ยากที่เกิดมาจากพ่อจากแม่ เกิดมาจากพ่อจากแม่แล้วมาบวชเป็นพระจากอุปัชฌาย์ครูบาอาจารย์นี่แหละ แล้วครูบาอาจารย์ขึ้นมา สิ่งที่กระทบสิ่งที่กีดขวางอยู่เพื่อไม่ให้กิเลสมันอหังการไง กิเลสมันอหังการ มันทำเลวร้ายกับตัวเองทั้งสิ้น การกระทำนั้นน่ะมันเป็นเวรเป็นกรรมของสัตว์โลก เป็นของตนเองทั้งสิ้น เห็นไหม สิ่งที่เกิดขึ้นๆ แต่มันก็มีเวรมีกรรมนะ มีเวรมีกรรม ถ้ามันไม่ทำอย่างนั้น
เพราะมีคนพูดบ่อย ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนาคตังสญาณ ก็รู้อยู่แล้วว่าเทวทัตจะมาทำลายอย่างนั้น จะให้เทวทัตบวชมาทำไม ทำไมไม่ให้เทวทัตไม่ต้องบวชมาตั้งแต่ตอนนั้น แล้วการมาเกิดก็มาเกิดเป็นพี่เป็นน้องกันเหมือนกัน เป็นลูกพี่ลูกน้อง เป็นกษัตริย์เหมือนกันด้วย นี่เวลามาบวชนะ
ธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้รู้เขาถึงบอกว่า เพราะความเมตตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะถึงที่สุดแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าระลึกได้
เราทำขนาดนี้ ทำอย่างไรก็แล้วแต่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีสิ่งใดโต้แย้งเลย ระลึกได้ จะมาลา จะมาขอขมาลาโทษองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลามาแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “เทวทัตจะไม่ได้เห็นหน้าเราแล้วแหละ”
เวลาเกิดมาด้วยกัน เป็นลูกศิษย์ลูกหามาเหมือนกัน ประพฤติปฏิบัติมาด้วยกัน เวลามาโต้มาแย้ง มาขอพรต่างๆ
“ต่อไปนี้เทวทัตจะไม่เห็นหน้าเราแล้วแหละ”
แล้วเวลาเทวทัตจะมาขอขมาไง มาแล้วนะๆ ส่งข่าวมาตลอดทาง เวลามาถึงหน้าเชตะวันจะไปขอขมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาจิตใจมันพลิกมันแพลงแล้วมันเปลี่ยนไปเลย
เดินทางมาตลอดแล้ว ร่างกายมันไม่สะอาด ต้องทำความสะอาดร่างกายก่อน ลงจากแคร่ ธรณีสูบผัวะ! ไม่เห็นจริงๆ แต่ธรณีสูบไป ตั้งแต่ถึงคอ ขอขมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งถึงคอ ขากรรไกรขอถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เขาสำนึกได้ นี่ไง
คำว่า “นี่ไง “ หมายความว่า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ไม่ให้บวชๆ เพราะเขาคิดได้ แต่ความคิดได้ของเขามันโหดร้าย มันได้ทำให้วงการของสงฆ์สั่นสะเทือนมหาศาล แต่เพราะมันเวรกรรมของสัตว์ไง สร้างไว้มหาศาลขนาดนั้นไง
ถ้ามันย้อนกลับมาก็ย้อนกลับมาน้ำอ้อย ของเล็กน้อยแค่นี้ แต่เพราะการสร้างสมมาอย่างนั้น เป็นจริตเป็นนิสัย พอไปเห็นสิ่งใดแล้วมันคิดคำนวณของมันไปตลอด บ้าบอคอแตกไปเรื่อย ไอ้แค่น้ำอ้อย น้ำอ้อยก้อนเดียวทำให้เกิดปรากฏการณ์ได้ขนาดนั้นน่ะ
น้ำอ้อยส่วนน้ำอ้อยนะ ถ้าวิเคราะห์ น้ำอ้อยมันของเล็กน้อย แต่ถ้าวิเคราะห์ถึงพันธุกรรมของจิตตั้งแต่ชูชกไปมันมหาศาล ตั้งแต่เป็นชูชกไป ตั้งแต่ทำสิ่งใดมาเป็นคู่เวรคู่กรรมกันต่อมา เกิดมาร่วมกันๆ มาตลอดไง
ฉะนั้น ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้าที่เราเกิดมา ถ้าไม่เป็นญาติไม่เป็นพี่เป็นน้องกันมาภพใดชาติหนึ่งไม่มี คำว่า “เป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติกันชาติใดชาติหนึ่ง” มันถึงมีความรู้สึก เห็นแล้วมันมีความชื่นใจ เห็นแล้วมีความขัดแย้ง เห็นแล้วต่างๆ มันเป็นของมัน ถ้ามันเป็นของมันแล้ว นี่มันผลของวัฏฏะ แต่หัวใจเราล่ะ หัวใจเราจะหมุนไปตามมันอีกใช่ไหม หัวใจเรายังจะหมุนตามวัฏฏะนั้นไปใช่ไหม ตามวัฏฏะไปมันก็แปรปรวนไปอย่างนั้นน่ะ แล้วกิเลสที่มันอยู่ในหัวใจนั้นน่ะมันก็ครอบงำทำลายไปมากไปกว่านั้น
แต่ถ้ามันรู้เท่าๆ แล้วนะ สิ่งที่ทำไปๆ เพราะความเห็นผิดๆ ทั้งสิ้น ปล่อยวางทั้งสิ้น ถ้าจะทำสิ่งใดขึ้นมาก็ทำความสงบใจของเรามาทั้งสิ้น ทำความสงบของใจเราเข้ามา ดูแลหัวใจของเราเข้ามา ถ้าเห็นโทษของมันๆ ไง เห็นโทษของกิเลสในหัวใจของสัตว์โลกๆ ไง สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือกิเลสในหัวใจของสัตว์โลกไง
เพราะกิเลสในหัวใจของสัตว์โลก น้ำอ้อย หมู่สงฆ์เขาเห็นว่าเป็นสัตตาหกาลิก เป็นไว้ฉันกับน้ำร้อน ฉันเข้าไปแล้วก็ถ่ายก็จบ ก็น้ำอ้อย แต่ทำไมมันไปสะกิด มันไปสะดุดให้เห็นว่า ทำไมข้ามไปข้ามมา ทำไมไม่เห็นหัวเรา ทำไมไม่ถวายเรา
แค่น้ำอ้อย แต่มันไปปลุก มันไปคุ้ยกิเลสในใจของเทวทัตขึ้นมา มันไปคุ้ยตั้งแต่ภพชาติที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวทัต ไปเป็นผู้ขายของเล่นเด็ก สุดท้ายถาดทองคำของยายแก่นั่นน่ะ กำเม็ดทรายขึ้นมานะ จะจองล้างจองผลาญไปทุกภพทุกชาติ แล้วก็จองล้างจองผลาญมา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ไปแล้ว
แต่เวลาสำนึกได้ คำว่า “สำนึกได้” หลวงตาท่านยังชม ท่านชมนะ บอกว่า เทวทัตเวลาหมดจากเวรจากกรรมแล้วจะเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า
ดูเทวทัตเวลาเขามีฌานโลกีย์ของเขา เขาแปลงเป็นงูไปพันศีรษะของอชาตศัตรู นั้นคืออะไร ฌานโลกีย์ คำว่า “ฌานโลกีย์” สิ่งที่เป็นมิจฉา เป็นสมาธิเป็นมิจฉา มันก็ทำกำลังใจให้มีกำลังเหมือนกัน แล้วถ้าเพราะได้สร้างเวรสร้างกรรมก็ต้องไปตกนรกอเวจี เวลาพ้นจากนรกอเวจีขึ้นมาเป็นชั้นๆ ขึ้นมา สุดท้ายแล้วก็จะมาตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า เพราะเขาสำนึกได้ เขาสำนึกได้ด้วยการกระทำ ด้วยสิ่งที่เขาทำมาๆ มันก็มีกำลังของมัน แต่มันเป็นมิจฉา มันเป็นจากการทำผิดพลาด เป็นการทำลาย ก็ต้องไปลงนรกอเวจี
แต่สิ่งที่เป็นฌานโลกีย์ สิ่งที่ได้สร้างสมมา เห็นไหม เพราะสำนึกได้ พอสำนึกได้ ถวายคาง ถวายกระดูกขากรรไกรกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำนึกผิดๆ ผิดไปแล้ว นี่เวลาสำนึกได้ แล้วเวลาทำเป็นความดีงามของเขา ถึงเวลาความดีงาม ทำผลสั่นสะเทือนมากนะ แล้วมันมีความดีงามทีหลังนี่ไง นี่พูดถึงว่าพันธุกรรมของจิตๆ
เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูด แล้วเราก็เห็นอย่างนั้น
“น่ากลัวที่สุดคือกิเลสในหัวใจของสัตว์โลก”
กิเลสในใจๆ นั่นน่ะ แล้วสถานะสูงหรือต่ำ สถานะที่ต่ำต้อยมันก็ทำผลสะเทือนได้เล็กน้อย สถานะที่ส่งสูงมันก็ทำผลสั่นสะเทือนเป็นวงกว้างมาก มันอยู่ที่กิเลสในใจมีอำนาจหรือไม่มีอำนาจ มีฐานะหรือไม่มีฐานะ แล้วทำได้มากทำได้น้อย ทำแล้วมันก็มีผลกลับมากับใจดวงนั้นไง นี่ก็แค่น้ำอ้อย ให้เห็นว่าน้ำอ้อย มันเป็นของเล็กน้อยนะ ฉะนั้น ให้ผลปรากฏการณ์ของสังคม
มันก็แค่น้ำอ้อย มันเป็นผลปรากฏการณ์ของสังคมทั้งสิ้น เขามีเวรมีกรรมต่อกันมา เขาได้สร้างผลเวรผลกรรมของเขามา ถ้าสร้างผลเวรผลกรรมของเขามา สิ่งใดที่แก้ไขได้ ที่ทำให้มันเป็นผลบวกได้ เราก็พยายามจะทำ ถ้ามันทำไม่ได้ กรรมของสัตว์ไง ก็กรรมของสัตว์ สัตว์ที่มันสร้างเวรสร้างกรรมของมันมา
แล้วเวรกรรมที่มากที่น้อยขนาดไหน กรรมอันนั้นมันมีผลกระเทือนของมันไง ถ้าผลกระเทือนของมันนะ มันก็สร้างสิ่งที่ผลกระเทือนของมัน เห็นไหม นี่ผลของวัฏฏะๆ ผลของการเวียนว่ายตายเกิดในของวัฏฏะ ผลการเกิดเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเพราะมันมีเวรมีกรรมมา แล้วถ้ามาสร้างกรรม กรรมชั่วๆ มันก็สร้างผลกรรมของมันต่อเนื่องไป
นี่ไง ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ในการเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริทรัพย์ เป็นอริยทรัพย์ขึ้นมาเพื่อสร้างคุณงามความดี สร้างคุณงามความดีมันก็เป็นธรรมไง แต่ถ้าสร้างความชั่วมันก็เป็นบาปเป็นกรรมไง
ถ้าสร้างความชั่วๆ นี่ไง ถึงว่ากรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันไง ก็การกระทำของเรามันก็จำแนกของมันไปไง สิ่งที่มา สิ่งที่มามันก็เป็นของเดิมมันมา ของเดิมมันก็เป็นกิเลสในหัวใจของมนุษย์ แต่เพราะมนุษย์เกิดมามีคุณค่า มนุษย์เกิดมามีสติปัญญา มนุษย์ถึงเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วได้นับถือพระพุทธศาสนา นับถือพระพุทธศาสนาแล้ว ผู้ที่มีสติมีปัญญาขึ้นมาก็พยายามจะเอาชนะกิเลสในใจของตน
การบวชการประพฤติปฏิบัติคือการเอาชนะกิเลสในใจของตน ถ้าใครชนะกิเลสในใจของตนได้โดยสัจจะเป็นความจริง มันก็เป็นสัมมาสมาธิ เป็นสัมมาสมาธิทั้งสิ้น มันจะเป็นธรรมๆ เป็นธรรมมาจากไหน
เพราะคนนับถือพระพุทธศาสนามันก็ศีล สมาธิ ปัญญา ลัทธิต่างๆ เขาก็ทำสมาธิของเขา ทุกศาสนาของเขา เขาทำความสงบของใจทั้งสิ้น เขาสวดมนต์สวดพร เขาอ้อนวอนต่างๆ เขาเป็นสมาธิของเขา นี่สมาธิไง มิจฉาหรือสัมมาทั้งสิ้น ถ้ามันเกิดมา ถ้ามันทำประพฤติปฏิบัติขึ้นมาในหัวใจ มันเป็นสมาธิทั้งสิ้น
แต่พระพุทธศาสนา เวลาท่านสอนมรรค ๘ ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ มันชัดเจนในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธแสดงธรรมๆ พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม พอแสดงธรรมๆ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ลูกศิษย์ลูกหามหาศาล มหาศาลเพราะอะไร เพราะเป็นอำนาจวาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่สร้างเวรสร้างกรรมมา ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาได้พันธุกรรมของจิตที่มันดีงามขึ้นมา มันจะคิดบวก มันจะมีความเห็นเป็นผลบวกขึ้นมา
เทวทัต เทวทัตก็ได้สร้างสมบุญญาธิการมาเหมือนกัน แต่เวลาสร้างสมบุญญาธิการเป็นคู่เวรคู่กรรม เวลามาเห็นแล้วมันน้อยเนื้อต่ำใจไปหมด ต้องเสมอกันๆ แม้แค่น้ำอ้อย
มันอยู่ในธรรมบท ในพระไตรปิฎกแปลมาจากบาลี เริ่มต้นเห็นนางวิสาขามาเฝ้ามากราบไหว้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ มันก็มีของติดไม้ติดมือมา ก็มองตรงนั้นแหละ มีน้ำผึ้งน้ำอ้อยมาถวาย ก็สมัย ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว มันจะมีอะไรสูงส่งขนาดไหน มันก็มีแต่ธรรมชาติอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นน่ะ
ตัวเองก็เห็นแล้ว ทำไมข้ามไปข้ามมา เกิดเป็นทิฏฐิมานะ เกิดเป็นความคิดวางแผนต่างๆ ร้อยแปด พอคิดแล้ว เห็นไหม
ก็แค่น้ำอ้อย แต่กิเลสในใจของเทวทัต กิเลสในหัวใจของสัตว์โลก กิเลสมันไม่ยอม กิเลสมันดิ้นรน กิเลสมันต้องการ กิเลสมันจะเทียบเคียง แล้วเวลาสร้างผลมา เพราะกิเลสคิด
ถ้าเป็นธรรมคิดนะ มันวางหมดเลย แล้วพยายามเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาในหัวใจของเรา เราอยากพ้นทุกข์ๆ น้ำอ้อยไม่ต้องการ ต้องการศีล ต้องการสมาธิ ต้องการปัญญา ต้องการความสงบระงับ เราบิณฑบาตเช้าขึ้นมาได้สิ่งใดเราก็ฉันแบบนั้น
ในสมัยพุทธกาลมีมาก เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ นะ คหบดีเขาชื่นชม เขาถวายทานของเขา เวลาพระบวชใหม่ มันก็เป็นน้ำผักดองกับข้าว ซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ จนเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ โจษพระภัตตุเทศก์ ผู้ที่แจกของพระ ลำเอียงๆๆ
แต่ถ้าเป็นพระผู้ใหญ่ เอาไปเลย ให้ เราได้สิ่งใดมาเราเจือจานลูกศิษย์ลูกหา เราให้ นี่ถ้าเป็นธรรมๆ
แต่เวลาพระที่บวชมาแล้วไม่ได้ดั่งใจ โจษนู่นโจษนี่จนสร้างเงื่อนไข
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระวินัยๆ เรื่องอย่างนี้มีมาก เกิดขึ้นมาในสมัยพระพุทธกาล
ในสมัยปัจจุบันนี้โลกมันเจริญ พอโลกเจริญขึ้นมา สิ่งใดที่เป็นสมควรแก่สมณสารูปที่ใช้เป็นประโยชน์กับเรา เราก็ใช้สอยสิ่งนั้นเพื่อดำรงชีพ ดำรงชีพไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติ แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามีสติสัมปชัญญะกดมันไว้ ถ้ามีสติสัมปชัญญะมันเท่าทันความคิด มันหยุดได้
ถ้าสติสัมปชัญญะเราไม่เท่าทัน มันโหมนะ กระแสมันพัดโครมๆ ยิ่งกว่าพายุอีก พายุอารมณ์ร้ายกาจนัก ทำให้เราล้มลุกคลุกคลานไง แต่ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะยับยั้งไว้ นี่เวลาฟังธรรมๆ จากหลวงพ่อ
“หลวงพ่อก็พูดได้สิ หลวงพ่อแก่เฒ่าแล้ว ๗๐ แล้ว อะไรก็ได้ๆ ไง แต่พวกฉันยังปั๊งๆๆ อยู่ไง ยังฟิตๆๆ อยู่”
ฟิต กิเลสมันก็ฟิตด้วยไง เราก็ตัดทอน เพราะเราก็เคยฟิตๆ อย่างนี้มา อดอาหารนะ อดแล้วอดเล่า ๗ วัน ๘ วันมาฉันที ๗ วัน ๘ วันมาฉันที ทำอยู่อย่างนั้นเป็นปีๆ นะ เพราะอะไร เพราะดัดมันไง ดัดมันเพื่อจะได้สัจจะของเราไง ดัดมัน เห็นไหม
แล้วเวลามันคิดนะ เรายังเคยคิด โอ้! คนเรา ๓ วันกินข้าวทีก็จะดีนะ ประหยัดไปอีกมากเลย เพราะมันอยู่สบายๆ ไง ๓ วันกินข้าวทีก็พอ แต่นี่เราฉันหนเดียวๆ นะ ถ้าพูดมากเกินไปเขาก็อวด อยากแอ็กต์ เก่งกว่าคนอื่น แต่ไม่ใช่
เพราะคิดอยู่คนเดียว คิดกับกิเลส ฉันจะเอาชนะกิเลสในใจของตน จะเอาความสงบระงับ จะเอาความดีงามเพื่อการประพฤติปฏิบัติให้ศีล สมาธิ ปัญญามันก้าวเดินได้สะดวก นี่มันคิด คิดเอาชนะตนเอง แล้วกระทำของตน จะอยู่กับคนมากคนน้อย เราก็ทำของเรา ทำของเราไปเรื่อยๆ แต่มันก็ไปสะดุดตาคนเยอะ แต่สะดุดตามันก็เรื่องของเขา เพราะเราเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์สังคมอยู่ในสังคม เราก็พยายามทำของเรา ทำเพื่อประโยชน์กับเรา แล้วถ้าทำไปแล้วมันเป็นมิจฉาหรือสัมมา
ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ มันเป็นภาวนามยปัญญา มันรู้มันเห็นของมัน มันแจ่มแจ้งของมัน มันชัดมันเจนของมันนะ เวลามันปล่อยมันวาง คุณค่าของมันมี
เวลาทุกข์เหมือนกันหมด เวลาถูไถ เวลากระเสือกกระสนเหมือนกันทั้งนั้น ทุกข์มันอันเดียวกัน แต่เวลามันสงบล่ะ เวลามันปล่อยล่ะ แล้วเวลาภาวนามยปัญญา ตทังคปหานมันปล่อยชั่วคราวๆ ล่ะ แล้วมันสมุจเฉทปหานล่ะ
มันชัดเจนของมันอย่างนั้นน่ะ สมุจเฉทปหาน บุคคล ๔ คู่ไง โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ อ๋อ! นิพพาน ๑ มันไปอยู่นู่น นี่มันเป็นความจริงของเราไง เห็นไหม ถ้าเราทำจริง เราทำจริงของเราได้
น้ำอ้อยหยดเดียวทำให้เกิดปรากฏการณ์ขึ้นมาได้ แล้วถ้ามีสติสัมปชัญญะ เรามีสติสัมปชัญญะ เราจะไม่ให้มีปรากฏการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้น เพราะเรามองภาพรวม ของของเราเยอะแยะไปในคลัง ทุกอย่างมีทั้งสิ้น ขาดเหลือสิ่งใดบอกกันได้
เพราะว่าความสูงความต่ำ ความเอารัดเอาเปรียบ มันทำให้กิเลสของเรามันเคลื่อนไหว เรามีกิเลสกันทุกคน แล้วจะให้กิเลสของเราเอาเชื้อ เอาสิ่งนั้นมากระตุ้นมันอีกให้มันทุกข์มันยากไม่ได้ เราพยายามตัดทอนมันๆ ปัจจัย ๔ ปัจจัยเครื่องอาศัย สมณสารูป หัวหน้าต้องดูแล เอวัง